วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2563

3. ตลาดในระบบเศรษฐกิจ


บทที่ 3
ตลาดระบบเศรษฐกิจ
พิพัฒน์ คุณวงค์

        ตลาดโดยทั่วไป หมายถึง สถานที่ในการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าและบริการ แต่ตลาดในทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง กิจกรรมการซื้อขายสินค้าและบริการระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยไม่คำนึงว่าจะต้องใช้สถานที่ใด ๆ อาจซื้อขายผ่านจดหมาย ระบบโทรคมนาคม หรือผ่านทางออนไลน์ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องพบปะกันโดยตรง


      ตลาดสามารถจำแนกได้หลายลักษณะ เช่น ตามลักษณะการขายสินค้า (ตลาดขายส่ง, ตลาดขายปลีก) ตามลักษณะสินค้าที่ผลิต (สินค้าอุตสาหกรรม, สินค้าเกษตร, ภาคการบริการ) ตามวัตถุประสงค์ของการใช้สินค้า (ตลาดผู้บริโภค, ตลาดปัจจัยการผลิต, ตลาดการเงิน)
          แต่ในทางเศรษฐศาสตร์สามารถจำแนกประเภทตลาดได้ 2 ประเภทคือ
1) ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (Perfect Competition)
2) ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ (Imperfect Competition)
     2.1) ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด (Monopolistic Competition)
     2.2) ตลาดผู้ขายน้อยราย (Oligopoly)
     2.3) ตลาดผูกขาด (Monopoly)

          4.1 ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (Perfect Competition)
ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ เป็นตลาดที่มีการแข่งขันอย่างเต็มที่ในระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งราคาสินค้าในตลาดจะไม่ขึ้นกับอิทธิพลของผู้ใด แต่จะขึ้นกับกลไกของตลาด โดยมีลักษณะดังต่อไปนี้
               1) มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก 
               2) ราคาสินค้ามีราคาเดียว
               3) สินค้าที่ซื้อขายมีลักษณะเหมือนกันทุกประการในสายตาผู้ซื้อ
               4) ผู้ซื้อและผู้ขายมีความรอบรู้ในข้อมูลข่าวสารของตลาดเป็นอย่างดี
               5) การเข้าหรือออกจากอุตสาหกรรม และการโยกย้ายปัจจัยการผลิตทำได้โดยเสรี


ตลาดประเภทนี้หาได้ยากในระบบเศรษฐกิจ แต่ก็มีตลาดที่ใกล้เคียง เช่น ตลาดสินค้าเกษตร เป็นต้น แต่ก็ยังไม่เป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์โดยแท้จริง

4.2 ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ (Imperfect Competition)
ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ มีลักษณะสำคัญ ดังนี้
1) จำนวนผู้ซื้อและผู้ขายมากพออันส่งผลให้มีอำนาจในการกำหนดราคาสินค้า
2) สินค้าที่ซื้อขายมีลักษณะไม่เหมือนกันในสายตาผู้ซื้อ
3) ความรอบรู้ในข้อมูลข่าวสารของตลาดมีจำกัด
          4) การเข้าหรือออกจากอุตสาหกรรมทำได้ยาก อาจเกิดจากข้อจำกัดทางด้านกฎหมาย การครอบครอบครองปัจจัยการผลิต เงินทุน หรือเทคโนโลยี  เป็นต้น
          5) การโยกย้ายปัจจัยการผลิตไม่ได้เป็นไปโดยเสรี
4.2.1) ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด (Monopolistic Competition)
ตลาดแบบนี้มีลักษณะคล้ายกับตลาดแข่งขันสมบูรณ์ เป็นตลาดที่มีผู้ขายจำนวนหลายราย  ทำการผลิตสินค้าที่ไม่เหมือนกันแต่สามารถใช้ทดแทนกันได้ ผู้ผลิตรายอื่นสามารถเข้ามาผลิตแข่งขันได้ ผู้ซื้อและผู้ขายไม่ทราบข้อมูลข่าวสารของตลาดอย่างสมบูรณ์ ตัวอย่างตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด เช่น ตลาดผงซักฟอก ยาสีฟัน แป้ง เสื้อผ้า
4.2.2) ตลาดผู้ขายน้อยราย (Oligopoly)
ตลาดผู้ขายน้อยราย เป็นตลาดที่มีผู้ขายเพียงไม่กี่ราย ทำการผลิตสินค้าไม่เหมือนกันแต่สามารถใช้ทดแทนกันได้บ้าง ผู้ขายจะไม่ใช้ราคาเป็นเครื่องมือในการแข่งขัน เนื่องจากมีผู้ขายจำนวนน้อย          หากฝ่ายหนึ่งลดราคา อีกฝ่ายต้องลดราคาตาม และหากอีกฝ่ายขึ้นราคา อีกฝ่ายจะไม่ขึ้นราคาตาม ซึ่งการดำเนินการใด ๆ ของผู้ผลิตรายหนึ่งย่อมกระทบกับผู้ผลิตรายอื่นเสมอ จึงต้องใช้การแข่งขันในวิธีอื่น เช่น คุณภาพสินค้า การโฆษณา ความแตกต่างในการบรรจุหีบห่อ ตัวอย่างตลาดผู้ขายน้อยราย เช่น ตลาดน้ำอัดลม รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ปูนซีเมนต์ เครือข่ายโทรศัพท์
4.2.3) ตลาดผูกขาด (Monopoly)
ตลาดผูกขาด เป็นตลาดที่มีหน่วยธุรกิจเพียงรายเดียวทำการผลิตสินค้า โดยไม่มีสินค้าอื่นใดทดแทนสินค้าชนิดนั้นได้ และผู้ผลิตรายอื่นไม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้ การผูกขาดอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้
1) กฎหมายให้อำนาจรัฐวิสาหกิจดำเนินกิจการเพียงรายเดียว
2) การได้สัมปทานจากรัฐบาล
3) การเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตแต่เพียงผู้เดียว
4) การลงทุนขนาดใหญ่ซึ่งเป็นอุปสรรคและเป็นการปิดกั้นคู่แข่ง
ตัวอย่างตลาดผูกขาด เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา รถไฟ สินค้าที่ลงทุนมหาศาล

ตารางที่ 1 เปรียบเทียบลักษณะตลาดประเภทต่าง ๆ
ลักษณะ
ตลาดแข่งขันสมบูรณ์
ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์
ตลาดกึ่งแข่งขันฯ
ตลาดผู้ขายน้อยราย
ตลาดผูกขาด
1. จำนวนผู้ขาย
จำนวนมากมาย
จำนวนมาก
จำนวนน้อย
รายเดียว
2. ลักษณะสินค้า
เหมือนกันทุกประการ
แตกต่างกันแต่ใช้แทนกันได้
แตกต่างกันบ้างแต่ใช้แทนกันได้
ใช้แทนกันไม่ได้หรือได้น้อย
3. อำนาจในการกำหนดราคา
เป็นไปตามกลไกตลาด
มีพอสมควร แต่ต้องดูคู่แข่งด้วย
มีมาก แต่ต้องคาดการณ์การตอบโต้ของคู่แข่ง
มีอำนาจในการกำหนดราคาเต็มที่
4. การเข้าสู่ตลาดของผู้ขายรายใหม่
ง่ายมาก
ง่าย
ค่อนข้างยาก
ยากมาก

วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2563

2. ระบบเศรษฐกิจ

บทที่ 2

ระบบเศรษฐกิจ
พิพัฒน์ คุณวงค์

           การประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จำเป็นต้องมีผู้ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพื่อปฏิบัติภารกิจให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และสามารถสนองความต้องการผู้บริโภคได้สูงสุด ผู้ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจนี้ เราเรียกว่า หน่วยเศรษฐกิจ  หน่วยเศรษฐกิจเล็ก ๆ หลายหน่วยเหล่านี้ มีความสัมพันธ์กันและเข้ามารวมกันเป็นกลุ่มของสถาบันทางเศรษฐกิจ ที่มีกฎเกณฑ์และแนวปฏิบัติคล้ายกัน เรียกว่า ระบบเศรษฐกิจ

1. ประเภทของหน่วยเศรษฐกิจ

          ในระบบเศรษฐกิจจะประกอบด้วยหน่วยเศรษฐกิจที่ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ โดยมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ซึ่งถ้าพิจารณาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แต่ละหน่วยเกี่ยวข้อง สามารถแบ่งได้ 3 หน่วยเศรษฐกิจ คือ หน่วยครัวเรือน หน่วยธุรกิจ และหน่วยรัฐบาล
          1.1 หน่วยครัวเรือน เป็นหน่วยเศรษฐกิจที่มีเพียงคนเดียว หรือหลายคน ร่วมกันตัดสินใจใช้ทรัพยากร เช่น เงิน ทรัพย์สิน แรงงาน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สมาชิกในครัวเรือนอาจเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต แรงงาน หรือผู้ประกอบการก็ได้  ครัวเรือนจะทำหน้าที่สำคัญ 2 ประการคือ 1) เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตและจำหน่ายปัจจัยการผลิตให้แก่หน่วยธุรกิจ และ 2) เป็นผู้บริโภคสินค้าและบริการ โดยเป้าหมายหลักของหน่วยครัวเรือนคือ การแสวงหาความพอใจสูงสุด
          1.2 หน่วยธุรกิจ เป็นหน่วยเศรษฐกิจของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ทำหน้าที่นำสิ่งที่เป็นผู้ผลิต หรือผู้ขาย หรือทั้งสองอย่างพร้อมกันก็ได้ โดยเป้าหมายหลักของหน่วยธุรกิจคือ การแสวงหากำไรสูงสุด
          1.3 หน่วยองค์กรรัฐบาล เป็นหน่วยเศรษฐกิจของรัฐหรือส่วนราชการต่าง ๆ ทำหน้าที่ดำเนินการตามนโยบายของรัฐ ควบคุม ดูแลการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของแต่ละหน่วยเศรษฐกิจ เก็บภาษี สร้างปัจจัยขั้นพื้นฐาน ตัดสินข้อพิพาทต่าง ๆ นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต เป็นผู้ผลิต และผู้บริโภคในคราวเดียวกัน  
ภาพที่ 7 ความสัมพันธ์ของแต่ละหน่วยเศรษฐกิจกับระบบเศรษฐกิจ

2. ความสัมพันธ์ของหน่วยเศรษฐกิจ
          2.1 ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยครัวเรือนกับหน่วยธุรกิจ

ภาพที่ 8 กระแสหมุนเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างหน่วยครัวเรือนกับหน่วยธุรกิจ

จากภาพที่ 8 วงจรกระแสหมุนเวียนด้านบน ครัวเรือนจะนำเอาปัจจัยการผลิตออกสู่ตลาดปัจจัยการผลิต เมื่อตลาดรับซื้อปัจจัยการผลิตนั้นแล้วก็จะจ่ายเงินให้กับครัวเรือนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ค่าจ้าง ค่าเช่า ดอกเบี้ย กำไร จากนั้นตลาดจะเปิดโอกาสให้ธุรกิจเข้าครอบครองและใช้ปัจจัยการผลิตเหล่านั้น โดยธุรกิจจะต้องจ่ายเงินให้กับตลาดปัจจัยการผลิต เรียกว่าค่าใช้จ่าย หรือต้นทุน
วงจรกระแสหมุนเวียนด้านล่าง เมื่อธุรกิจได้ปัจจัยการผลิตมาแล้วก็จะทำการผลิตสินค้าและบริการออกไปขายในตลาดสินค้าและบริการ ตลาดจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้กับหน่วยธุรกิจ จากนั้นตลาดก็จะนำสินค้าและบริการเหล่านั้นไปขายให้กับครัวเรือน ครัวเรือนจะจ่ายเงินให้ในรูปแบบค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการ
2.2 ความสัมพันธ์เมื่อมีหน่วยรัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้อง

ภาพที่ 9 กระแสหมุนเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีหน่วยรัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้อง
ปรับปรุงจาก (จรินทร์ เทศวานิช, สุชาดา ตั้งทางธรรม และสุมนทิพย์ บุญสมบัติ, ม.ป.ป.)
          จากภาพที่ 9 บทบาทของรัฐบาลเป็นทั้งผู้บริโภค ผู้ผลิต และเจ้าของปัจจัยการผลิต โดยรัฐบาลจะมีรายรับจากภาษีอากรและการขายสินค้าให้แก่ธุรกิจและครัวเรือน ขณะเดียวกันรัฐบาลก็จะนำรายรับไปซื้อปัจจัยการผลิตในตลาดปัจจัยการผลิต เพื่อนำไปผลิตสินค้าและบริการที่หน่วยธุรกิจไม่ทำการผลิต เช่น ไฟฟ้า ประปา การขนส่งทางรถไฟ เป็นต้น รวมทั้งจะนำรายรับไปซื้อสินค้าและบริการเพื่อให้หน่วยราชการนำไปใช้สอย และในบางกรณีรัฐยังจ่ายเงินโอนให้ครัวเรือนและธุรกิจในกรณีเกิดปัญหา เช่น จ่ายเงินช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ การให้ทุนการศึกษา เป็นต้น
          ระบบเศรษฐกิจ (Economic System) หมายถึง กระบวนการทางเศรษฐกิจที่เกิดจากความร่วมมือกันของมนุษย์ในการสร้างและใช้ทรัพยากรเพื่อสนองความต้องการระหว่างกันของสมาชิกในสังคมที่มีการปฏิบัติคล้ายคลึงกัน เนื่องจากประเทศต่าง ๆ มีรูปแบบการปกครอง จารีต ประเพณีที่แตกต่างกัน ทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ มีลักษณะแตกต่างกันไป แบ่งได้เป็น 3 ระบบ คือ ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม และระบบเศรษฐกิจแบบผสม

          3.1 ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม (Capitalism)
ระบบนี้มีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน ได้แก่ ระบบเศรษฐกิจแบบเสรี (Free – Enterprise System) หรือระบบเศรษฐกิจแบบตลาด (Market System) มีลักษณะสำคัญดังนี้
1) เอกชนเป็นเจ้าของ และมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน หรือปัจจัยการผลิตได้
2) ทุกคนมีเสรีภาพในการเลือกประกอบอาชีพต่าง ๆ ได้อย่างอิสระตามความต้องการและความสามารถของแต่ละบุคคล
3) มีกำไรเป็นเครื่องจูงใจให้ผู้ผลิตทำการผลิตสินค้า ผู้ผลิตมีจุดมุ่งหมายในการผลิต คือ เพื่อแสวงหากำไรสูงสุด หรือใช้ต้นทุนการผลิตที่ต่ำที่สุด ผู้บริโภคสามารถเลือกบริโภคได้อย่างเสรี และมีจุดมุ่งหมายคือเพื่อแสวงหาความพอใจสูงสุด
4) การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการตัดสินใจแก้ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจกระทำโดยผ่านกลไกราคา
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
1) เกิดแรงจูงใจในการผลิตและการทำงาน บุคคลใดมีความสามารถสูง สามารถผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ ได้มาก ก็จะมีรายได้และกำไรมาก
2) เกิดการปรับปรุงเทคนิคการผลิตอยู่เสมอ เนื่องจากผู้ผลิตแต่ละรายต้องแข่งขันกัน ทำให้คุณภาพของงานและสินค้าดีขึ้น
3) บุคคลในระบบเศรษฐกิจมีอิสระเสรีในการใช้ทรัพยากร หรือประกอบกิจการที่ไม่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพผู้อื่น
4) ผู้บริโภคสามารถบริโภคสินค้าและบริการที่เป็นธรรมมากขึ้น
ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
1) การกระจายรายได้ของประชาชนไม่เท่าเทียมกัน
2) ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอาจไม่เหมาะกับทุกสถานการณ์ ในบางครั้งรัฐต้องดำเนินการควบคุมราคา เช่น ในภาวะสงคราม
3) หากผู้ผลิตสินค้าและบริการมีน้อยราย อาจเกิดการผูกขาดราคาสินค้า เพราะรัฐบาลไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงได้
ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเกิดขึ้นมาอย่างช้านานและเป็นที่นิยมของประเทศในยุโรปตะวันตก และทวีอเมริกา โดยประเทศต่าง ๆ ให้เสรีถาพกับเอกชนในการผลิต ป้องกันการผูกขาด และให้มีการแข่งขันอย่างเต็มที่

          3.2 ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม (Socialism)
ระบบเศรฐกิจแบบสังคมนิยมเป็นระบบที่ภาครัฐเป็นผู้วางแผนและตัดสินใจในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ผู้ผลิตจะผลิตสินค้าตามนโยบายรัฐ ไม่ว่าจะผลิตอะไร (What) โดยวิธีการใด (How) และผลิต เพื่อใคร (For Whom) มีลักษณะสำคัญดังนี้
1) รัฐเข้าควบคุมธนาคาร อุตสาหกรรมขั้นพื้นฐาน และอุตสาหกรรมหนัก สาธารณูปโภค และเข้าไปจัดสวัสดิการให้กับประชาชน
2) ประชาชนมีเสรีภาพในการเลือกซื้อสินค้าและบริการ มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย
3) รัฐบาลเป็นผู้กำหนดราคาสินค้าและบริการ
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
     1) ประชาชนได้รับการดูแลด้านสวัสดิการที่เท่าเทียมกัน
     2) รัฐบาลเข้าไปควบคุมกิจการบางอย่าง ทำให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรและการกระจายรายได้ที่ดี
3) ไม่มีการผูกขาดทางเศรษฐกิจโดยผู้ผลิตรายใดรายหนึ่ง
ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
     1) หากรัฐวางแผนและให้นโยบายที่ไม่ดี จะทำให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรที่ผิดพลาดหรือไม่เกิดประโยชน์สูงสุด
     2) ประชาชนไม่มีเสรีภาพอย่างเต็มที่ในการทำธุรกิจที่ตนเองมีความรู้ความสามารถหรือต้องการทำ
     3) ขาดแรงจูงใจในการคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ในการผลิต
ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีอยู่ในหลายประเทศที่มีพื้นฐานทางด้านการเมืองการปกครองแบบสังคมนิยม เช่น รัสเซีย ลาว เวียดนาม เป็นต้น แต่ในปัจจุบันประเทศต่าง ๆ เหล่านี้เกิดการปรับตัวให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยให้เอกชนทั้งนักธุรกิจในประเทศและต่างประเทศเข้ามาลงทุนในบางกิจการได้

3.3 ระบบเศรษฐกิจแบบผสม (Mixed Economy)
เป็นระบบเศรษฐกิจที่ผสมกันระหว่างทุนนิยมกับสังคมนิยม เอกชนและรัฐบาลสามารถดำเนินกิจการทางเศรษฐกิจได้ มีลักษณะสำคัญคือ
1) เอกชนและรัฐบาลสามารถเป็นเจ้าของทรัพย์สินหรือปัจจัยการผลิตขนาดใหญ่หรือขนาดย่อม หรือเป็นเจ้าของร่วมกันได้
2) รัฐบาลจะเข้าควบคุมกิจกรรมพื้นฐานที่สำคัญ เช่น การไฟฟ้า การประปา การคมนาคมขนส่ง การรถไฟ เป็นต้น
3) ใช้กลไกราคาควบคู่กับการวางแผนจากส่วนกลางในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบผสม
     1) มีความคล่องตัวในการดำเนินการ เพราะสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ของสภาพเศรษฐกิจได้
     2) รายได้ถูกนำมาเฉลี่ยให้ผู้ทำงานตามกำลังความสามารถที่กระทำได้ มิใช่ตามความจำเป็น แรงจูงใจในการทำงานของประชาชนจึงดีกว่า
3) เอกชนมีบทบาททางเศรษฐกิจ มีการแข่งขันผลิตสินค้า สินค้าจึงมีคุณภาพ และประชาชนสามารถเลือกบริโภคได้
4) เอกชนสามารถเข้าถึงบริการของรัฐ ทั้งระบบสาธารณูปโภค การศึกษา สาธารณสุข และสวัสดิการพื้นฐาน
ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบผสม
     1) กำลังใจหรือแรงจูงใจสำหรับเอกชนมีไม่มากพอ เพราะเอกชนมองว่าต้องเสี่ยงกับความไม่แน่นอนของนโยบายจากรัฐบาล
     2) รัฐเข้ามามีบทบาทในการวางแผนเพียงบางส่วนเท่านั้น จึงอาจไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในกรณีต้องการเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจให้รวดเร็วตามเป้าหมายที่ต้องการ
     3) การบริหารงานของรัฐที่ผูกขาดในกิจการบางประเภทยังขาดประสิทธิภาพ
ปัจจุบันประเทศที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย ส่วนมากจะใช้ระบบเศรษฐกิจแบบผสม เช่น ไทย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เป็นต้น โดยมีการวางแผนเศรษฐกิจเพื่อประสานนโยบายทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติ

ภาพที่ 10 ตัวอย่างประเทศที่ดำเนินกิจการทางเศรษฐกิจตามระบบเศรษฐกิจต่าง ๆ
(ธนาคารแห่งประเทศไทย, 2555)

1. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์


บทที่ 1
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์
พิพัฒน์  คุณวงค์

             เศรษฐศาสตร์ เป็นวิชาแขนงหนึ่งทางสังคมศาสตร์ ก่อตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนมีสถานภาพเป็น “ศาสตร์” นับตั้งแต่มีการตีพิมพ์ตำราทางเศรษฐศาสตร์เล่มแรกของโลกในปีค.ศ. 1776 คือ An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations หรือเรียกสั้น ๆ ว่า The Wealth of Nations (ความมั่นคงของชาติ)  โดยอดัม สมิธ (Adam Smith) นักเศรษฐศาสตร์ชาวสกอตแลนด์ ผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งเศรษฐศาสตร์ในระดับสากล นับแต่นั้นเป็นต้นมาจึงได้กำเนิดวิชาเศรษฐศาสตร์ ที่พัฒนาและขยายตัวขึ้น จนกระทั่งเกือบจะกล่าวได้ว่าไม่มีพฤติกรรมใดหรือการกระทำใดของมนุษย์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเศรษฐศาสตร์

1. ความหมายของเศรษฐศาสตร์
         เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์และสังคม ในการเลือกใช้วิธีการในการนำเอาทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดมาผลิตสินค้าและบริการเพื่อสนองความต้องการและหาหนทางที่จะจำแนกแจกจ่ายสินค้าและบริการไปยังประชาชนในสังคม เพื่อให้มีการอยู่ดีกินดี และมีความเป็นธรรมทั้งในปัจจุบันและอนาคต หรือสรุปได้ว่า เศรษฐศาสตร์ เป็นเรื่องของการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

         จากความหมายของเศรษฐศาสตร์ จะเน้นในเรื่องการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด เน้นการขาดแคลนของทรัพยากรซึ่งเป็นเรื่องที่นำไปเปรียบเทียบกับความต้องการของมนุษย์ กล่าวคือ “ความต้องการของมนุษย์มีไม่จำกัด แต่จำนวนทรัพยากรที่จะนำมาผลิตสินค้าและบริการนั้นมีอยู่อย่างจำกัด” จึงเป็นหน้าที่ของวิชาเศรษฐศาสตร์ที่จะเข้าไปจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์ให้มากที่สุด
ภาพที่ 1 ความต้องการของมนุษย์ที่ไม่จำกัด นำมาซึ่งการขาดแคลนทรัพยากร จึงเกิดการจัดสรรหรือการเลือกใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สงสุด ปรับปรุงจาก (มงคล ดอนขวา และมณฑา ชุ่มสุคนธ์, ม.ป.ป.).


โดยสรุปแล้วเศรษฐศาสตร์จะเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้

          1) การเลือก (Choices) เกิดขึ้นเพราะทรัพยากรต่าง ๆ สามารถนำไปใช้ประโยชน์หลายทาง และจากความไม่สมดุลระหว่างความต้องการที่ไม่จำกัดกับทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด ทำให้ไม่สามารถสนองความต้องการที่มีไม่จำกัดได้ บุคคล กลุ่มบุคคล สังคมหรือประเทศจึงต้องเลือกใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดเพื่อให้เกิดประโยชน์หรือประสิทธิภาพสูงสุด
          2) ทรัพยากรการผลิต (Productive Resource) เป็นปัจจัยที่นำมาใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ
2.1) ที่ดิน (Land) ได้แก่ผืนแผ่นดินและทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ เช่น ป่าไม้ แร่ธาตุ สัตว์น้ำ ความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มนุษย์ไม่ได้สร้างขึ้นแต่สามารถปรับปรุงคุณภาพของทรัพยากรได้บ้าง โดยผลตอบแทนจากการใช้ที่ดินเรียกว่า “ค่าเช่า”
2.2) แรงงาน (Labor) ซึ่งเป็นทรัพยากรมนุษย์ ได้แก่ ความสามารถทางกำลังกายและสติปัญญา ความรู้ของมนุษย์ที่นำไปใช้ในการผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ โดยผลตอบแทนของแรงงานเรียกว่า “ค่าจ้าง”
2.3) ทุน (Capital) เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ เช่น เครื่องจักร อาคาร โดยผลตอบแทนของทุนเรียกว่า “ดอกเบี้ย”
2.4) ผู้ประกอบการ (Entrepreneur) เป็นผู้ที่รวบรวมปัจจัยการผลิตทั้ง 3 ประเภทที่กล่าวมา เพื่อทำการผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ โดยผลตอบแทนของผู้ประกอบการเรียกว่า “กำไร”

ภาพที่ 2 ทรัพยากรการผลิตและผลตอบแทนที่ได้จากการใช้

3) สินค้าและบริการ (Goods and Service) เป็นสิ่งที่ได้จากการทำงานร่วมกันของปัจจัยการผลิต เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภค แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
3.1) เศรษฐทรัพย์ (Economics Goods) คือ สินค้าที่มีต้นทุนในการผลิต แบ่งได้ดังนี้
     3.1.1) สินค้าเอกชน คือสินค้าที่แยกการบริโภคออกจากกันได้ และสามารถกีดกันผู้บริโภครายอื่นได้ เช่น นายน้อยเป็นเจ้าของรถยนต์ สามารถกีดกันไม่ให้ผู้อื่นใช้รถของตนเองได้
     3.1.2) สินค้าสาธารณะ คือ สินค้าที่บริโภคร่วมกัน และไม่สามารถกีดกันบุคคลอื่นในการบริโภคได้ เช่น ถนนสาธารณะ โรงพยาบาล การจัดการศึกษาของรัฐบาล
3.2) สินค้าไร้ราคา (Free Goods) คือ สินค้าและบริการที่ไม่มีต้นทุน ไม่มีราคาที่ต้องจ่าย เช่น แสงแดด สายลม อากาศ น้ำฝน
          4) ความต้องการของมนุษย์ที่ไม่จำกัด (Unlimited Wanted) มนุษย์โดยทั่วไปมีความต้องการใช้สินค้าและบริการที่ไม่จำกัด ไม่เพียงพอ หรือไม่มีสิ้นสุด ตั้งแต่สินค้าและบริการที่จำเป็น สิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดทั้งชื่อเสียงเกียรติยศ
          5) ประสิทธิภาพ (Efficiency) คือ การใช้ทรัพยากรหรือปัจจัยในการผลิตของหน่วยผลิตหรือหน่วยบริโภค โดยคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรหรือปัจจัยในการผลิตที่มีอยู่จำกัด ให้ประหยัดที่สุดเท่าที่จะทำได้
2. ความสำคัญของวิชาเศรษฐศาสตร์
          เศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของทุกคน เพราะทุกคนต้องอาศัยปัจจัย 4 คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค ตลอดทั้งน้ำอุปโภคบริโภค และการที่จะได้มาซึ่งสิ่งของ    ต่าง ๆ เหล่านี้ จะต้องมีรายได้จากการทำงาน เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการมาใช้ตอบสนองความต้องการของเรา ซึ่งปัญหาก็คือเราจะทำงานอะไร หาเงินได้อย่างไร และใช้เงินอย่างไรในการตอบสนองความต้องการของเราได้ดีที่สุด การศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์จะช่วยให้เราเข้าใจปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น สามารถแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่ทุกคนเผชิญได้อย่างมีเหตุผล โดยความสำคัญของวิชาเศรษฐศาสตร์สามารถสรุปได้ดังนี้
          2.1 ช่วยในการตัดสินใจของประชาชน  เศรษฐศาสตร์มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับบุคคล และเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากที่สุด โดยบุคคลจะต้องพยายามหาคำตอบจากปัญหาเศรษฐกิจต่าง ๆ อยู่เสมอ
2.2 ช่วยสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนเกี่ยวกับนโยบายของรัฐ  ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์จะช่วยให้ประชาชนมีความรู้และความเข้าใจในการดำเนินนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของรัฐ เช่น ทำไมรัฐบาลต้องกู้ยืมเงินจากต่างประเทศมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
เมื่อประชาชนเกิดความเข้าใจ ก็ย่อมจะให้ความร่วมมือ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้นโยบายของรัฐประสบความสำเร็จ ส่งผลให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี
2.3 ช่วยสร้างองค์ความรู้ในการบริหารงาน  ผู้บริหารระดับต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระดับหน่วยธุรกิจ หรือระดับประเทศ ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์จะช่วยในการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงของเหตุการณ์และปัญหาเศรษฐกิจ ช่วยให้ผู้บริหารงานในภาครัฐและเอกชนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีหลักเกณฑ์และเหตุผล โดยเฉพาะการบริหารธุรกิจของภาคเอกชนที่มีเป้าหมายสำคัญ คือ การแสวงหากำไรจากธุรกิจนั้น ๆ โดยการบริหารจัดการต้นทุนให้มีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ซึ่งความรู้ทางวิชาเศรษฐศาสตร์จะช่วยในการบริหารรายรับและต้นทุนได้อย่างเหมาะสม
2.4 ช่วยสร้างผลประโยชน์ให้เกิดกับประเทศชาติ  ความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์จะช่วยรักษาผลประโยชน์ของชาติในเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในปัจจุบันซึ่งเป็นยุคโลกาภิวัตน์ที่มีการเปิดเสรีทางการค้าอย่างกว้างขวาง ความเข้าใจเรื่องการค้า การลงทุนจะช่วยให้มีการวางแผนเศรษฐกิจและการค้ากับต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประเทศชาติก็จะได้รับประโยชน์ ประชาชนจะมีงานทำ มีรายได้สูงขึ้น และช่วยให้มาตรฐานการครองชีพสูงขึ้นตามไปด้วย
3. ขอบข่ายของวิชาเศรษฐศาสตร์
          ขอบข่ายของวิชาเศรษฐศาสตร์สามารถจำแนกได้ 2 ลักษณะ คือ จำแนกวิชาตามเนื้อหาวิชา และจำแนกตามการวิเคราะห์ปัญหา ดังนี้
          3.1 จำแนกตามเนื้อหาวิชา สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทดังนี้
3.1.1 เศรษฐศาสตร์จุลภาค (Microeconomics) เป็นการศึกษากิจกรรมทางเศรษฐกิจของบุคคล ครัวเรือน เป็นการศึกษาเฉพาะส่วนย่อย ๆ ในระยะเวลาหนึ่ง ๆ เศรษฐศาสตร์จุลภาคถือเป็นแนวทางหลักในการวิเคราะห์เศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้เศรษฐศาสตร์จุลภาคยังวิเคราะห์ถึงโครงสร้างของตลาด เช่น ตลาดแข่งขันสมบูรณ์และตลาดผูกขาด เพื่อทราบถึงพฤติกรรมและประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจ
3.1.2 เศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomics) เป็นการศึกษากิจกรรมทางเศรษฐกิจในระดับรวมหรือในระดับประเทศ เช่น รายได้ประชาชาติ อัตราการจ้างงาน การธนาคาร การคลัง เศรษฐศาสตร์               มหภาคนั้นจะพิจารณาระบบเศรษฐกิจในภาพรวม นอกจากนี้ยังคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อระดับความเติบโตในระยะยาวของรายได้ประชาชาติ อันได้แก่ การสะสมทุน การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และการขยายตัวของกำลังแรงงาน
3.2 จำแนกตามการวิเคราะห์ปัญหา สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทดังนี้
3.2.1 เศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ หรือเศรษฐศาสตร์ตามความเป็นจริง (Positive Economics) เป็นการมุ่งอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น เรื่องที่เป็นอยู่ และเรื่องที่จะเกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร จากผลที่บุคคลหรือสังคมตัดสินใจเลือกการกระทำใดการกระทำหนึ่งลงไป นั่นคือการแสดงถึงความสัมพันธ์ของสาเหตุกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละพฤติกรรม
3.2.2 เศรษฐศาสตร์นโยบาย หรือเศรษฐศาสตร์ตามที่ควรจะเป็น (Normative of Policy) เป็นการมุ่งกล่าวถึงสิ่งที่ควรจะมีหรือสิ่งที่ควรจะเป็น โดยอาจจะเกิดขึ้นหรือไม่เป็นไปตามที่คาดหมายไว้ก็ได้ 
4. เป้าหมายของวิชาเศรษฐศาสตร์
        4.1 เป้าหมายต่อผู้บริโภค ช่วยทำให้ผู้บริโภครู้จักการตัดสินใจเลือกใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดในการบริโภคและใช้ในทางที่ดีที่สุด เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ในอนาคต รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และสามารถปรับตัวได้ภายใต้ความผันผวนทางเศรษฐกิจ
        4.2 เป้าหมายต่อผู้ผลิต ช่วยทำให้ผู้ผลิตมีความรู้ความสามารถในการวางแผนการผลิต การพยากรณ์การผลิตเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างถูกต้อง ในขณะเดียวกันก็มีความสามารถในการประยุกต์ใช้ปัจจัยการผลิต เพื่อจะทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำที่สุดและสามารถแข่งขันกับธุรกิจอื่น ๆ ได้
        4.3 เป้าหมายต่อองค์กรของรัฐ ช่วยให้ผู้บริหารในองค์กรของรัฐมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม มีความสามารถในการวางนโยบายเพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รู้จักใช้นโยบายและมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ รวมทั้งการสร้างโครงสร้างต่าง ๆ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ 
5. ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์
         ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ เป็นปัญหาอันเนื่องมาจากความต้องการของมนุษย์ที่มีอยู่ไม่จำกัด แต่ทรัพยากรและปัจจัยการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการนั้นมีอยู่จำกัด จึงเกิดปัญหาในการเลือกใช้และจัดสรรแบ่งทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากที่สุด จึงเกิดปัญหาพื้นฐาน 3 ประการ ดังนี้
5.1 ผลิตอะไร (What) คือ จะผลิตสินค้าและบริการอะไร ปริมาณเท่าไหร่ มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน จึงจะเพียงพอแก่การบริโภค

ภาพที่ 3 ปัญหาการผลิต ผลิตอะไร
(ธนาคารแห่งประเทศไทย, 2555)

          5.2 ผลิตอย่างไร (How) คือ การนำปัจจัยการผลิตที่มีมาผลิตอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด คือต้นทุนต่ำแต่ได้ผลผลิตสูง

ภาพที่ 4 ปัญหาการผลิต ผลิตอย่างไร
(ธนาคารแห่งประเทศไทย, 2555)

          5.3 ผลิตเพื่อใคร (For Whom) คือ เมื่อผลิตสินค้าและบริการแล้วจะสนองความต้องการของใคร หรือจัดสรรทรัพยากรแก่ใครบ้าง


ภาพที่ 5 ปัญหาการผลิต ผลิตเพื่อใคร
(ธนาคารแห่งประเทศไทย, 2555)

          ปัญหาพื้นฐานทั้งสามนี้จัดว่าเป็นปัญหาเศรษฐกิจร่วมกันทุกสังคม และทุกระบบเศรษฐกิจมีหน้าที่ต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ แต่การแก้ปัญหานั้นมีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป



3. ตลาดในระบบเศรษฐกิจ

บทที่ 3 ตลาดระบบเศรษฐกิจ พิพัฒน์ คุณวงค์         ตลาดโดยทั่วไป หมายถึง สถานที่ในการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าและบริการ แต่ตลาดในทางเ...